วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 จำแนกตาม ตำแหน่งหน้าที่ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 341 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการทดสอบค่าเอฟเทส (F-Test) แบบวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA) ในกรณีที่พบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยจะทำการวิเคราะห์เป็นรายคู่ โดยวิธีการเปรียบเทียบพหุคูณแบบ LSD ผลการวิจัย พบว่า : 1) ระดับการปฏิบัติในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านงานแนะแนว รองลงมา คือ ด้านงานกิจกรรมนักเรียน ด้านงานปกครองนักเรียน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านงานบริการให้แก่นักเรียน 2) การเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะและแนวทางในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 พบว่า ควรใส่ใจทุ่มเทมากๆ มีเมตตา ใช้ความสุข ความเมตตาต่อเด็กนักเรียน ทำด้วยความเต็มใจและเท่าเทียม ดูแลนักเรียนโดยอิงกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับ จัดหลักสูตรการแนะแนวที่ตรงกับวัยของนักเรียน
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 จำแนกตาม ตำแหน่งหน้าที่ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 341 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงของเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .90 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการทดสอบค่าเอฟเทส (F-Test) แบบวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA) ในกรณีที่พบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยจะทำการวิเคราะห์เป็นรายคู่ โดยวิธีการเปรียบเทียบพหุคูณแบบ LSD ผลการวิจัย พบว่า : 1) ระดับการปฏิบัติในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านงานแนะแนว รองลงมา คือ ด้านงานกิจกรรมนักเรียน ด้านงานปกครองนักเรียน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านงานบริการให้แก่นักเรียน 2) การเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะและแนวทางในการบริหารงานกิจการนักเรียนตามหลักพรหมวิหาร 4 ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 3 พบว่า ควรใส่ใจทุ่มเทมากๆ มีเมตตา ใช้ความสุข ความเมตตาต่อเด็กนักเรียน ทำด้วยความเต็มใจและเท่าเทียม ดูแลนักเรียนโดยอิงกับสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ควรได้รับ จัดหลักสูตรการแนะแนวที่ตรงกับวัยของนักเรียน
The objectives of the research were 1) to study the student affairs management based on the Four Sublime States of Mind (Brahmavihara) of schools under the Burirum Primary Educational Service Area Office 3, 2) to compare the opinions about the student affairs management based on Four Sublime States of Mind of the said schools, classified by position, educational background, work experience and school size and 3) to compile the related recommendations and guidelines suggested by the responses. The samples were 341 of school directors, teachers, or educational personnel of the schools in mention. The tool used was a 5-scale rating questionnaire with content accuracy of 0.67-1.00, and its reliability was .90. The statistics used for the data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation, t-test, F-Test (One-way ANOVA), in case of differences in mean, will be analyzed in pairs by the LSD multiple comparison method. The research results were as follows: 1) The student affairs management based on the Four Sublime States of Mind (Brahmavihara) of schools under the Burirum Primary Educational Service Area Office 3 was found, in an overall aspect, to be at a “MUCH” level. As for an individual aspect, the item that stood on top of the scale was guidance, followed by student activities, student administration, and service, respectively. 2) The comparison of the opinions about the student affairs management based on the Four Sublime States of Mind of the schools as mentioned, classified by position, education level, work experience, and school size, was found to show no statistically significant difference. 3) The suggestions and guidelines for the student affairs management based on the Four Sublime States of Mind of the so-said schools as suggested by the responses comprised the following: 1) More attention should be paid, and more loving-kindness should be extended, towards to students, in order to make classroom full of love and bliss. 2) Treatment with willingness and equality should be practiced. 3) Basic human rights should be taken into account in taking care of students. 4) The curricular and guidance courses should be designed to match with the age category of the learns.